วันศุกร์ที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2562

เมื่อหมอบ้านนอกอยากโกอินเตอร์

➤➤➤ต้องรีบโพสต์ก่อนจะถูกลบ ไม่แน่ใจว่าเขาจะแขวนไว้นานแค่ไหน เป็นงานวิจัยในจังหวัดสุรินทร์ที่มีผู้ป่วยเบาหวานมีภาวะเม็ดเลือดผิดปกติมากกว่าทุกๆที่ในโลก เป็นฮีโมโกลบินผิดปกติชนิดอี ซึ่งพบมากในคนสุรินทร์ มีผลต่อการแปลผลน้ำตาลสะสมในเลือดของผู้ป่วย จะมีค่าต่ำกว่าคนที่มีเม็ดเลือดปกติ คนต่างชาติสนใจ แค่เขารับผลงานก็ดีใจแล้ว กดอ่านโปสเตอร์ฉบับเต็มได้ตามลิงค์ข้างล่างนี้

https://diabetes.endocrineconferences.com/eposter/ahbet-artifactually-low-hemoglobin-a1c-in-diabetic-patients-with-hemoglobin-e-homozygote-surin-hospital-thailand-endocrinology-2019

➤➤➤ปัจจุบันระดับน้ำตาลสะสมสามารถบ่งบอกประสิทธิภาพการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด การแปลผลระดับน้ำตาลสะสมในผู้ป่วยเบาหวานทั่วไปและผู้ป่วยที่มีฮีโมโกลบินผิดปกติชนิดอี ที่ระดับน้ำตาลเท่ากัน ผู้ป่วยที่มีฮีโมโกลบินผิดปกติชนิดอีจะมีระดับน้ำตาลสะสมน้อยกว่า
                                                                                                           
Title: AHBET: Artifactually low hemoglobin A1C in diabetic patients with hemoglobin E homozygote: Surin Hospital, Thailand.
Name: P. Sueyanyongsiri, P. Tangbundit, S. Sueyanyongsiri, S. Bunmee, P. Khansri
Surin hospital, Affiliated Institutes of Suranaree University of Technology, Thailand

A decreased life-span of erythrocytes is associated with lower concentration of hemoglobin A1C (HbA1c). This research aims to study effect of hemoglobin E homozygote on HbA1c level of diabetic patients in Surin Hospital. A cross-sectional study was conducted from 2009 to 20016. Patient’s profile, fasting plasma glucose and  HbA1c level were collected and divided in hemoglobin E homozygous group and control group. Each sample arm was classified into eight strata according to blood glucose level to compare HbA1c level in each subgroup. During 2009-20016, 81 diabetic patients with hemoglobin E homozygote were found from overall 353 negative dichlorophenol-indolephenol (DCIP) diabetic patients. There is no difference of sex, average age, duration of disease and fasting plasma glucose between hemoglobin E homozygote and control group. Patients with hemoglobin E homozygous group had lower HbA1c level than those of control group (P<0.05). Conclusion: Since HbA1c levels is presently the best indicator of long term glycemic control. With similar fasting plasma glucose, hemoglobin E homozygote is associated with lower HbA1c level.

Biography

Passorn Sueyanyongsiri has completed her MD at the age of 25 years from Chulalongkorn University and postdoctoral studies from Mahidol University School of Medicine. She is the medical teacher in Surin hospital, Affiliated Institutes of Suranaree University of Technology, Thailand.       

Presenting author details
Full name: Passorn Sueyanyongsiri
Contact number:357839
Twitter account:@drpassorn
Linked In account:

Session name/ number: Diabetes: Diagnosis and treatment
Category: Poster presentation

ผลงานหมอบ้านนอกอีกคน

ผลงานหมอบ้านนอกอีกคนอยู่ต่างอำเภอ ไม่มีทุนวิจัย เก็บข้อมูลเอง ทบทวนบทความเอง เขียนเอง ไม่มีนักสถิติช่วย ลำบากแท้ ผู้ช่วยก็ไม่เก่งมาก แต่อยากช่วย ล้มแล้วลุก สนุกสนานกันแท้

ชื่อเรื่อง"ระดับไขมันแอลดีแอล คอเลสเตอรอลไม่มีผลต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมองตีบซ้ำ"
ชุติมา คูศิริวิเชียร, พ.บ.,ว.ว.อายุรศาสตร์
โรงพยาบาลจักราช จังหวัดนครราชสีมา
ภัสสร สื่อยรรยงศิริ, พ.บ., ว.ว.อายุรศาสตร์
กลุ่มงานอายุรกรรม โรงพยาบาลสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์
______________________________________________________________________
บทคัดย่อ
โรคหลอดเลือดสมองเป็นโรคที่สำคัญและพบบ่อย ผู้ป่วยที่เป็นโรคหลอดเลือดสมองอยู่แล้วมีโอกาสเกิดโรคหลอดเลือดสมองซ้ำได้มากกว่าคนปกติ การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยเสี่ยงและความชุกของการเกิดโรคหลอดเลือดสมองตีบซ้ำในโรงพยาบาลจักราช จังหวัดนครราชสีมา การศึกษานี้เป็นการศึกษาย้อนหลังเก็บรวบรวมข้อมูลจากเวชระเบียนผู้ป่วย โดยศึกษาผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองตีบและโรคหลอดเลือดสมองตีบซ้ำที่มารับบริการในโรงพยาบาลจักราช จังหวัดนครราชสีมา ตั้งแต่เดือนตุลาคม พ.ศ. 2555 ถึงเดือนกันยายน พ.ศ. 2559 วิเคราะห์ผลการศึกษาโดยใช้ค่าความถี่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละวิเคราะห์ปัจจัยที่เกี่ยวข้องภายในกลุ่มของประชากรโดยใช้การวิเคราะห์ถดถอยโลจิสติก และวิเคราะห์เปรียบเทียบระหว่างกลุ่มโดยใช้สถิติไคสแคว์ ผลการศึกษาพบผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองตีบจำนวน 213 คน เป็นผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองตีบซ้ำจำนวน 41 คน (ร้อยละ 19.2) ในกลุ่มผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองตีบที่ไม่เป็นซ้ำพบเป็นกลุ่มผู้สูงอายุมากกว่ากลุ่มอายุอื่น (Odd ratio 1.87, P<0.05) ในกลุ่มผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองตีบซ้ำพบเป็นกลุ่มผู้สูงอายุมากกว่ากลุ่มอายุอื่น พบมีโรคประจำตัวความดันโลหิตสูงมากกว่า และพบการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ไม่ดีมากกว่า (Odd ratio 2.15, 1.93 และ 4.5 ตามลำดับ : P<0.05) ระยะเวลาการเกิดโรคหลอดเลือดสมองตีบซ้ำพบได้บ่อยในช่วง 31 วันถึง 1 ปี (ร้อยละ 46.3) การมีโรคประจำตัวความดันโลหิตสูง การมีภาวะอ้วน และการขาดยาต้านเกล็ดเลือดแอสไพริน เป็นปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดสมองตีบซ้ำ (Odd ratio 2.55, 2.58 และ 8.44 ตามลำดับ : P <0.05) นอกจากนี้ยังพบว่าการควบคุมระดับไขมันแอลดีแอล คอเลสเตอรอลในเลือดได้ไม่ดีไม่มีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคหลอดเลือดสมองตีบซ้ำ
Low Density Lipoprotein Cholesterol level is not associated with Recurrent Ischemic Stroke.

Chutima Koosiriwichian, M.D., Thai Board of Internal Medicine
Chakkarat hospital, Nakhon Ratchasima, Thailand
Passorn Sueyanyongsiri, M.D., Thai Board of Internal Medicine
Medicine department, Surin hospital, Surin, Thailand
_________________________________________________________________________
Abstract
Stroke is the important and common disease. Patient who has prior stroke trends to have recurrent stroke than othersThe objectives of this study are to study risk factors and prevalence of recurrent ischemic stroke in Chakkarat hospital, Nakhon Ratchasima province. This study was retrospective study, collecteddata by using medical records. Ischemic stroke patients who attended in Chakkarat hospital, Nakhon Ratchasima province since October 2012 to September 2016 were enrolled in the study. The data analysis used frequency, mean and percentage. In each groups compared by logistic regression analysis and between groups compared by Chi-square test. The result found that there were 213 ischemic stroke patients. 41 patientswere recurrent ischemic stroke (19.2%). In no recurrent ischemic stroke group, elder was found more often than other age groups (OR 1.87, P<0.05). In recurrent ischemic stroke group, elder, hypertension and poor controlled blood sugar were found more often than others (OR 2.15, 1.93 and 4.5, respectively, P<0.05). The duration of recurrent ischemic stroke was found most in 31 days to 1 year after prior stroke (46.3%). Hypertension, obesity and discontinuation of antiplatelet treatment were risk factors of recurrent ischemic stroke (OR 2.55, 2.58 and 8.44, respectively, P<0.05) In addition, uncontrolled low-density lipoprotein cholesterol (LDL-C) level was not associated with recurrent ischemic stroke.
ติดตามอ่านเอกสารฉบับเต็มได้ที่ร้อยเอ็ดเวชสาร ปีที่4 ฉบับที่ 2 เดือนกรกฎาคม-ธันวาคม 2561 หน้า1-8 
วารสารคนรุ่นใหม่ไฟแรง บรรณาธิการใจดี มีลิ้งค์ให้อ่านออนไลน์ได้ไม่ต้องพิมพ์ให้เปลืองกระดาษ ลดโลกร้อน
ร้อยเอ็ดเวชสาร ปีที่4 ฉบับที่ 2

วันพฤหัสบดีที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2562

ผลงานเล็กๆของพยาบาลและหมอต่างจังหวัด

➽➽➽จากการตรวจสุขภาพของพระภิกษุพบว่าพระภิกษุในเขตเทศบาลมีความเสี่ยงต่อภาวะอ้วนลงพุงมากกว่าพระที่จำพรรษานอกเขตเทศบาล

ความเสี่ยงของภาวะอ้วนลงพุงในกลุ่มประชากรพระภิกษุสงฆ์ที่จำพรรษาในเขตเมือง
The risk of central obesity in the population of monks in urban area

แสงอรุณ สื่อยรรยงศิริ*, พย.บ.
ภัสสร สื่อยรรยงศิริ**, พ.บ.
  *กลุ่มงานเวชกรรมสังคม โรงพยาบาลสุรินทร์
**กลุ่มงานอายุรกรรม โรงพยาบาลสุรินทร์
บทคัดย่อ
ภาวะอ้วนลงพุง พบอุบัติการณ์สูงขึ้นทั่วโลกรวมทั้งในประเทศไทย แต่ยังไม่มีการศึกษาในกลุ่มประชากรพระภิกษุสงฆ์ การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์ในการศึกษาความชุกของภาวะอ้วนลงพุงในกลุ่มประชากรพระภิกษุสงฆ์ โดยมีกลุ่มเปรียบเทียบ แบ่งกลุ่มประชากรเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกเป็นกลุ่มประชากรพระภิกษุสงฆ์ที่จำพรรษาในวัดในเขตเทศบาลเมือง เปรียบเทียบกับพระที่จำพรรษาที่วัดนอกเขตเทศบาลเมือง โดยมีสมมุติฐานว่าพระทั้งสองเขตนั้นมีความเสี่ยงในการเกิดภาวะอ้วนลงพุงที่แตกต่างกัน  ประชากรพระทั้งหมดในเขตอำเภอเมือง 841 ราย เพศชายทั้งหมด จำนวนพระในเขตเทศบาล 170 ราย คิดเป็น 20.21 % อายุไขเฉลี่ย 35 ปี จำนวนพระนอกเขตเทศบาล 671 รายคิดเป็น 79.79% อายุไขเฉลี่ย 48 ปี การหาค่าความเสี่ยงสามารถคำนวนความเสี่ยงของการเกิดภาวะอ้วนลงพุงได้ว่าพระที่จำพรรษาในเขตเทศบาลเมืองจังหวัดสุรินทร์ จะมีโอกาสเสี่ยงต่อการมีภาวะอ้วนลงพุงมากกว่าพระที่จำพรรษาในวัดนอกเขตเทศบาลเมืองจังหวัดสุรินทร์ เป็น 1.68 เท่า และ 2.57 เท่าในกลุ่มที่มีอายุมากกว่า 35 ปี โดยมีนัยสำคัญทางสถิติ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในกลุ่มเสี่ยงลดประชากรกลุ่มเสี่ยงได้ 23% จากการติดตามพระภิกษุสงฆ์ที่มีภาวะอ้วนลงพุงภายหลังการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม พบว่าความชุกของภาวะอ้วนลงพุงลดลงจาก 20.21 % ลดเหลือ 8.0 % กลุ่มประชากรจึงมีการขาดการติดตามหรือติดตามไม่ได้ คิดเป็น 20% ของประชากรกลุ่มเสี่ยง ในกลุ่มประชากรที่ติดตามได้ไม่พบการเกิดโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือโรคหลอดเลือด ในระยะ 2 ปีที่เฝ้าระวัง เปรียบเทียบสุขภาพของพระภิกษุสงฆ์ในเขตเทศบาลเมืองมีภาวะอ้วนลงพุงมากกว่ากลุ่มควบคุม โดยเฉพาะพระที่มีอายุมากกว่า 35 ปี มีความเสี่ยงสูงกว่าชัดเจน
คำสำคัญ: อ้วนลงพุง, ความชุก, พระภิกษุสงฆ์

Abstract
Central obesity found a higher incidence around the word including Thailand but  there wasn't an education in the population of monks. The objective of this study was to study the prevalence of central obesity in the population of monks by having a comparison group. Divided the population into two groups, the first group was the population of monks who lived in the temple in the municipality compared with the population of monks who lived in the temple outside the municipality. The hypothesis was the two groups had the difference of the risks of central obesity. The population of all the monks in urban area were 841, they were all men. The number of monks in the municipality was 170, accounted for 20.21%, the average age was 35 years old. The number of monks outside the municipality was 671, accounted for 79.79%, the average age was 48 years old.  Can calculate the risk of central obesity that the monks in Surin municipaliry  had a risk of central obesity more than the monks outside Surin municipaliry  was 1.68 times and 2.57 times in age group more than 35 years. And there was a statistically significant at 95% confidence level. Changing behavior in the risk group reduced the population at risk 23% from following the monks who had central obesity after modified behavior.  The prevalence of central obesity decreased from 20.21% reduced to 8.0. In the population of the track, new case diabetes, hypertension or vascular disease did not occur in 2 years surveillance. Compared the health of the monks in the municipality have central obesity more than the control group especially the monks who are over 35 years old will have a higher risk clearly.
Keywords: central obesity, prevalence, monks
➤➤➤อ่านเอกสารฉบับเต็มได้ที่ วารสารโรคเขตเมือง

ปีที่ 2 ฉบับที่ 3 กันยายน-ธันวาคม พ.ศ. 2560

วันพุธที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2562

ผลงานวิจัยของหมออายุรกรรมบ้านนอก


Effect of Hemoglobin E disorders on Hemoglobin A1c in Diabetic patients, different in EA and EE.
  • Passorn Sueyunyongsiri*
  • *Departments of Internal Medicine, Surin Hospital, Surin, Thailand

Abstract
Background: A decreased life-span of erythrocytes is associated with lower concentration of hemoglobin A1c. This research aims to study effect of hemoglobin E disorder on hemoglobin A1c  ( HbA1c ) level of diabetic patients in Surin hospital.
Methods: A retrospective study was conducted from 2006 to 2009.Patient’s profile, blood glucose  and HbA1c levelwere collected and divided in hemoglobin E heterozygous, homozygous group and control group. Each sample arm was classified into eight subgroups according to blood glucose level to compare HbA1c level in each subgroup.
Results: During 2006-2009, 55 diabetic patients with hemoglobin E disorder were found from overall 43 negative DCIP diabetic patients. There is no difference of sex, average age, duration of disease and blood glucose between hemoglobin E disorders and control group. Patients with hemoglobin E homozygous group had lower  HbA1c  level than those of  control group (P<0.05). But no different in hemoglobin E heterozygous group(P>0.05)
Conclusion: Since HbA1c levels is presently the best indicator of long term glycemic control. With similar fasting glucose, hemoglobin E disorder is associated with lower HbA1c level.
Key words: Diabetes mellitus, Hemoglobinopathy, Hemoglobin A1c ( HbA1c )
Full paper: Medical Journal of Srisaket Surin Buriram Hospitals; Vol.23 No.2 May-August 2008;637-643.
บทคัดย่อ   ปัจจัยทางด้านฮีโมโกลบินผิดปกติชนิด อี ที่มีผลต่อการวัดระดับน้ำตาลสะสมในผู้ป่วยเบาหวาน
ภัสสร สื่อยรรยงศิริ*
*กลุ่มงานอายุรกรรม โรงพยาบาลสุรินทร์จังหวัดสุรินทร์ ประเทศไทย
บทนำ จุดมุ่งหมายของการศึกษาเพื่อทำการศึกษาผลของฮีโมโกลบินผิดปกติชนิด อี ต่อการแปลผลระดับน้ำตาลสะสมในผู้ป่วยเบาหวานในโรงพยาบาลสุรินทร์
วิธีการศึกษา ผู้วิจัยศึกษาโดยการเก็บรวบรวมผลการตรวจเลือด จากผู้ป่วยเบาหวาน ซึ่งได้รับการตรวจเลือดตั้งแต่ ปี พ..2549-2550 เปรียบเทียบระหว่างผู้ป่วยที่มีฮีโมโกลบินผิดปกติชนิดอีกับผู้ป่วยเบาหวานอื่นๆ แยกเป็น 7 กลุ่มตามระดับน้ำตาลในเลือด; ควบคุมน้ำตาลได้ดี 3 กลุ่ม (ระดับน้ำตาลน้อยกว่า 99 , 100-109, 110-126 มิลลิกรัม/เดซิลิตร) ; ควบคุมน้ำตาลได้ปานกลาง 1 กลุ่ม (ระดับน้ำตาล 127-139 มิลลิกรัม/เดซิลิตร ) ;หรือควบคุมน้ำตาลได้ไม่ดี 3 กลุ่ม (ระดับน้ำตาล 140-199, 200-239 , >240 มิลลิกรัม/เดซิลิตร) โดยเปรียบเทียบกับระดับน้ำตาลสะสมในแต่ละกลุ่ม
ผลการศึกษา ในช่วงระหว่าง ปี พ.. 2549-2550 ผู้ป่วยเบาหวาน 910 ราย อายุ 11-93 ปี มีผู้ป่วยเบาหวานที่มีฮีโมโกลบินผิดปกติ ชนิด อี 28 ราย เจาะเลือด 44 ครั้ง เปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม 882 ราย เจาะเลือด 958 ครั้ง ทั้งสองกลุ่มไม่มีความแตกต่างกันในค่าเฉลี่ยของอายุ เพศและระดับน้ำตาลในเลือด แต่ระดับน้ำตาลสะสมในผู้ป่วยที่มีฮีโมโกลบินผิดปกติชนิดอีต่ำกว่าผู้ป่วยเบาหวานทั่วไปอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ(P < 0.001)
สรุป ปัจจุบันระดับน้ำตาลสะสมสามารถบ่งบอกประสิทธิภาพการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด การแปลผลระดับน้ำตาลสะสมในผู้ป่วยเบาหวานทั่วไปและผู้ป่วยที่มีฮีโมโกลบินผิดปกติชนิดอี ที่ระดับน้ำตาลเท่ากัน ผู้ป่วยที่มีฮีโมโกลบินผิดปกติชนิดอีจะมีระดับน้ำตาลสะสมน้อยกว่า

คำสำคัญ โรคเบาหวาน, ฮีโมโกลบินผิดปกติ, ฮีโมโกลบินสะสม (HbA1c )
เอกสารฉบับเต็ม: วารสารการแพทย์โรงพยาบาล ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ ปีที่ 23 ฉบับที่ 2 พฤษภาคม-สิงหาคม 2551; หน้า  637-643